บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) ประกาศว่า MINT ได้ตัดสินใจเข้าถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 ในแฟรนไชส์แบรนด์ซิซซ์เล่อร์ทั่วโลก ยกเว้นในประเทศสหรัฐอเมริกา เปอร์โตริโก และกัวเตมาลา โดยการเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในแผนการผลักดันการเติบโตของ MINT ไปทั่วโลก อีกทั้งยังเน้นย้ำถึงตำแหน่งของ MINT ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมอีกด้วย
การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้นับเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับ MINT จะมาช่วยต่อยอดความสำเร็จที่บริษัทได้สั่งสมมาในอดีต ประกอบกับการช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทในฐานะผู้นำในตลาดโลก โดยในฐานะที่ MINT เป็นผู้ได้รับสิทธิแฟรนไชส์ของแบรนด์ซิซซ์เล่อร์มาอย่างยาวนานถึง 31 ปี ส่งผลให้ MINT เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัท Collins Foods Limited (“Collins Foods”) เป็นผู้ขายและเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในความสำเร็จของแบรนด์ซิซซ์เล่อร์ โดยมีส่วนช่วยในการผลักดันการเติบโตและสร้างชื่อเสียงในด้านร้านอาหารสไตล์ตะวันตกในทวีปเอเชีย ทั้งนี้ เมื่อกระบวนการการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ได้เสร็จสิ้นลง MINT จะเข้ามามีอำนาจควบคุมกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์ร้านซิซซ์เล่อร์ที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย 64 สาขาและประเทศญี่ปุ่นอีก 10สาขา
ดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการระดับโลกในครั้งนี้สะท้อนถึงการกลับมาเติบโตและมีความพร้อมที่จะคว้าโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบของไมเนอร์ ฟู้ด MINT พิสูจน์ให้เห็นว่าได้ประสบความสำเร็จในการขยายแบรนด์ในประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศที่มีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากในการครองตลาดอย่างเช่นจีนและสิงคโปร์
จากความสามารถของ MINT ในการพัฒนาแบรนด์ซิซซ์เล่อร์ที่ผ่านมา MINT จะสามารถปลดล็อกศักยภาพของแบรนด์ได้อย่างเต็มที่ โดยบริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้เชิงลึกในอุตสาหกรรม ความเชี่ยวชาญในการดำเนินงาน และการดำเนินงานของบริษัทที่มีอยู่ทั่วโลก เพื่อขยายเครือข่ายของแบรนด์ซิซซ์เล่อร์ในตลาดที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วอื่นๆ ทั่วโลก เช่น กลุ่มประเทศอาเซียนและตะวันออกกลาง”
สัญญาการขายดังกล่าว ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 21 ล้านเหรียญสิงคโปร์ จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัท และเกิดขึ้นได้จากการที่บริษัทมีฐานะทางการเงินและสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง ด้วยรายได้ค่าลิขสิทธิ์ต่อปีของซิซซ์เล่อร์ที่มีอยู่ที่ 3.5 – 4 ล้านเหรียญสิงคโปร์ และผลกำไรเต็มจำนวนโดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์จากการดำเนินงานในประเทศไทย การลงทุนดังกล่าวให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจเป็นร้อยละที่เป็นตัวเลขสองหลัก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียของเรา