“ซีอาร์จี”(CRG) ประกาศเดินหน้าทุ่มงบ 1 พันล้านบาท รุกตลาดปี 67 ด้วยแผนยุทธศาสตร์ Empowering EXCELLENCE, Embracing SUSTAINABILlTY ขับเคลื่อนองค์กรเติบโต ชู 4 กลยุทธ์หลัก โกยรายได้เพิ่ม 14% เปิดสาขาใหม่ไม่น้อยกว่า 100 สาขา เตรียมเล็งแบรนด์ใหม่เสริมทัพ เปิดโอกาสพาร์ตเนอร์ จับมือสร้างความมั่งคั่งไปพร้อมกัน ตั้งเป้าโกยยอด 16,600 ล้านบาท ทะยานสู่ความแข็งแกร่ง และการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ
ณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) เปิดเผยในงานแถลงข่าวว่า ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารในปี 2566 ที่ผ่านมา มีความท้าทายจากสถานการณ์อ่อนไหว และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ ซีอาร์จี เติบโต 13% ปิดรายได้ทะลุ 14,500 ล้านบาท เปิดสาขาใหม่มากกว่า 140 สาขา ภายใต้ 21 แบรนด์ รวมกว่า 1,600 สาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ยังได้นำร่องเปิดตัวร้านอาหาร 2 แบรนด์ คือ แบรนด์ นักล่าหมูกระทะ (Nak-La Mookata) ซึ่งเป็นร้านหมูกระทะในห้องแอร์ ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและราคาที่เอื้อมถึงได้ง่าย โดยมีการเปิดสาขาแรกที่ MBK Center และได้ขยายสาขาไปที่ The ForRest Phaholyothin รวมถึงสาขาอื่น ๆ จนมีทั้งหมด 6 สาขา รวมถึงร้านอาหารเกาหลีต้นตำรับ ร่วมกับพาร์ตเนอร์ภายใต้แบรนด์ คีอานิ (KIANI) สาขาเซ็นทรัล พระราม 9 ตอบรับกระแสความนิยมอาหารเกาหลีฟีเวอร์ตลอดกาล
“จากแผนงานในปี 66 เราสร้างความสำเร็จ เป็นที่น่าจดจำ และถูกพูดถึงในวงกว้างจากกลยุทธ์หลากหลาย ตอบโจทย์ และเข้าถึง เริ่มจาก New Product อาทิ เคเอฟซี เมนูหนังไก่แซ่บ ต่อด้วย Highlight Store เปิดร้านโฉมใหม่ KFC Digital Flagship @ Central World ด้านอานตี้ แอนส์ สร้างกระแสด้วยเมนูพรีเมี่ยมอย่าง Holy Cheese White Truffle รวมไปถึงปรากฏการณ์ collaboration ครั้งแรกในประเทศไทยระหว่าง คัตสึยะ x วันพีซ
นอกจากนี้ ยังมีการจัดเซ็ตเมนูพิเศษเฉพาะช่วงเวลาอย่าง โอโตยะ คาเฟ่ การเปิดตัว คัตสึยะ ทูโก (Katsuya Togo) อร่อย สะดวก สบายกระเป๋า ตลอดจนการเพิ่มไฮไลท์เจาะกลุ่ม เฉพาะบางสาขาอย่าง ซูชิสายพาน แบรนด์ ชินคันเซ็น ซูชิ และ เมนู Fresh & Easy ที่ สลัดแฟคทอรี่ เป็นต้น
ก้าวต่อไปในปี 2567 นี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดจะเติบโตอยู่ที่ราว 5-7% มูลค่ารวม 480,000 ล้านบาท สำหรับเทรนด์ธุรกิจร้านอาหารในปี 2567 บริษัทฯ มองว่ามีทั้งความท้าทายในเรื่องการบริหารจัดการ พนักงาน ด้านพลังงาน ต้นทุนวัตถุดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นกว่าปีก่อน แบรนด์ร้านอาหารต่าง ๆ มีการปรับตัว จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ออกเมนูใหม่ ให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายมากขึ้น รวมไปถึงผู้เล่นหน้าใหม่ที่ตบเท้ากันเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมากกว่า 1 แสนร้านในปี 2566 แต่อย่างไรก็ตาม ยังพบปัจจัยบวกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งเสริมการท่องเที่ยวภาครัฐ พฤติกรรมการนั่งรับประทานอาหารในร้านกลับเข้าสู่จุดสมดุล 80% ตลอดจนความนิยมรับประทานอาหารคนเดียวที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ที่อยากทดลองร้านอาหารแนวใหม่ หรือเมนูตามกระแสตลอดเวลา
สำหรับ 3 แบรนด์ ที่มียอดขายสูงเกิน 1,000 ล้านบาท ได้แก่ เคเอฟซี มิสเตอร์โดนัท และชินคันเซ็น ซูชิ รวมถึงการหาพาร์เนอร์ใหม่ๆ เช่น ยากินิคุ ชาบู สุกี้ ที่เรายังไม่มีในพอร์ต ซึ่งมีเป้าหมายเดียวกันกับเรา สามารถขยายสาขา ตัวเจ้าของธุรกิจมีความมุ่งมั่นในการทำงาน และเราตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 16,600 ล้านบาท ขยายร้านสาขา 100 – 120 สาขา รวมถึงการทำธุรกิจใหม่ๆ อีก 2-3 แบรนด์ ด้วย
ในปี 2567 บริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจ ภายใต้ยุทธศาสตร์ Empowering EXCELLENCE, Embracing SUSTAINABILlTY ด้วย 4 กลยุทธ์หลัก ผลักดันการเติบโตตามเป้าหมาย ประกอบด้วย
1. GROW : เติบโตด้วยศักยภาพ เน้นการเพิ่มยอดขายจากการเร่งขยายสาขาใหม่ โดยเฉพาะแบรนด์ยอดนิยมในเครือที่มีศักยภาพ เช่น “เคเอฟซี” “อานตี้ แอนส์” “โอโตยะ” “คัตสึยะ” “ส้มตำนัว” “สลัดแฟคทอรี่” “ชินคันเซ็น ซูชิ” ตั้งเป้าทั้งปี 2567 รวมไม่น้อยกว่า 100 สาขา ขณะที่แบรนด์ในเครืออื่น ๆ จะเน้นการเพิ่มยอดขายของสาขาเดิม และมุ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทุกกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการออกสินค้ารสชาติใหม่ โปรโมชั่นสุดคุ้มโดนใจ รวมไปถึงวางแผนกลยุทธ์กระตุ้นการขายในบางช่วงเวลา
2. DRIVE : ขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย ภายใต้ 3C Actions ได้แก่ Cost บริหารจัดการต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดการใช้พลังงาน, Capex เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด และ Cash Flow การบริหารกระแสเงินสด ตลอดจนการลงทุนให้มีความคล่องตัวมากขึ้น โดย ซีอาร์จี มีแผนเข้าสู่การเป็น Smart Restaurant อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมนำเทคโนโลยีมาใช้บริหารจัดการร้านอาหารมากขึ้น ทั้งการสั่งอาหารผ่านคิวอาร์โค้ด (QR Ordering), การนำหุ่นยนต์มาให้บริการในร้าน, การนำเครื่องมือใช้วิเคราะห์ลูกค้า (Business Intelligence) เพื่อเข้าใจ และตอบสนองกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำยิ่งขึ้น รวมถึงการวางแผนพัฒนาระบบการเสิร์ฟอาหารผ่านระบบสายพาน เป็นต้น
3. BUILD : เสริมสร้างความแข็งแกร่ง เล็งเห็นคุณค่าและให้ความสำคัญในกลุ่ม Joint Venture Partner โดยตั้งเป้าขยายมากกว่า 25 สาขา พร้อมเฟ้นหาแบรนด์ที่มีศักยภาพในการเติบโต ร่วมสร้างแบรนด์ดิ้ง เพื่อเสริมความแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอ ซึ่งตามแผนงานบริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มอีก 2-3 แบรนด์ในปีนี้ ภายใต้ CRG Ecosystem ให้พันธมิตรร่วมกันเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน ยกตัวอย่างความสำเร็จบางส่วน ในระยะเวลาไม่ถึง 5 ปี “สลัดแฟคทอรี่” มีสาขาเพิ่มขึ้น 33 สาขา เติบโตมากกว่า 200% จากยอดขายเดิม 200 ล้านบาท ก้าวกระโดดเป็น 600 ล้านบาท ขณะที่ “ชินคันเซ็น ซูชิ” มีสาขาเพิ่มขึ้น 19 สาขา ในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี และแตกธุรกิจปิ้งย่าง ภายใต้แบรนด์ “นักล่าหมูกระทะ” ซึ่งมีแผนจะเปิดสาขาใหม่เพิ่มเร็ว ๆ นี้ รวมไปถึงแบรนด์ “ส้มตำนัว” มีสาขาเพิ่มขึ้น 2 สาขา ยอดขายเติบโต 400% และมีการเปิดร้านรูปแบบใหม่เป็น standalone ที่สาขาราชพฤกษ์ อีกด้วย
4. EXPEDITE : ผลักดันความยั่งยืนทุกมิติ : หนึ่งในพันธกิจสำคัญด้านความยั่งยืนของ ซีอาร์จี โดยมี C–R–G เป็น 3 แกนหลัก ได้แก่ Care for People & Partner การดูแลบุคลากร และ พันธมิตรด้านธุรกิจ เปิดกว้างรับความหลากหลายของพนักงานเข้าทำงานทั้งด้านเพศ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เพื่อสร้างความเท่าเทียม การสร้างสมดุลในการทำงานเพื่อให้พนักงานมีความสุข มีความผูกพันกับองค์กร (Engagement) รวมถึงการสนับสนุนด้านการศึกษา โดยมอบทุนการศึกษาพนักงานและบุตรพนักงาน และร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในโครงการทุนการศึกษาทวิภาคิ เพื่อพัฒนาทักษะวิชาชีพจากการปฏิบัติงานจริงที่สถานประกอบการ ตลอดจนการสร้างประโยชน์ทางธุรกิจร่วมกับพันธมิตรอย่างมีธรรมาภิบาล (Good Governance) Reduce Greenhouse Gases มุ่งเน้นให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยการประหยัดพลังงาน และการใช้พลังงานทดแทน พร้อมผลักดันให้การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ภายใต้กรอบแนวคิดจากผู้บริหารสู่การปฏิบัติและลงมือทำของแบรนด์ต่าง ๆ และปลูกจิตสำนึกให้พนักงานของกลุ่มธุรกิจอาหาร
โดยในปี 2566 ซีอาร์จี สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 357.45 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยได้นำพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) มาใช้ในการดำเนินงานในรูปแบบของแผงโซล่าเซลล์ และสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานต่อขนาดพื้นที่ตารางเมตร เมื่อเทียบกับปีก่อน ด้วยการบริหารจัดการแบ่งพื้นที่หรือกั้นโซนการใช้งานภายในร้าน หรือเปิดร้านที่มีขนาดเล็กลง Green Waste & Environment ลดปริมาณขยะอาหารที่เกิดจากการใช้วัตถุดิบในกระบวนการผลิตอาหาร บริษัท สามารถควบคุมปริมาณขยะอาหารให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1% และในปีที่ผ่านมาการบริจาคอาหารส่วนเกินจากการจำหน่าย และการคัดแยกขยะอาหาร ยังช่วยลดปริมาณขยะอาหารก่อนนำไปฝังกลบได้ทั้งสิ้น 74,180 กิโลกรัม หรือเท่ากับลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทั้งสิ้น 187,680 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน โครงการ CRG Food Waste : Journey to Zero ได้ร่วมมือกับ เซ็นทรัลพัฒนา ในโครงการ “ไม่เทรวม” จัดอบรมพนักงานในร้านร่วมกันคัดแยกขยะก่อนนำไปทิ้งฝังกลบ ได้แก่ “ขยะอาหาร” และ “ขยะทั่วไป” แยกส่วนนำไปแปรสภาพเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ การทำปุ๋ยชีวภาพ และใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ตลอดจน CRG Surplus Food โครงการส่งมอบอาหารคุณภาพดีส่วนเกินจากการจำหน่าย ให้กับ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (ประเทศไทย) หรือ เอสโอเอส ประเทศไทย และมูลนิธิ วีวี แชร์ เพื่อไปบริจาคให้กับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือด้านอาหาร ผู้ยากไร้ กลุ่มเปราะบาง โดยเริ่มต้นบริจาคโดนัทจากแบรนด์มิสเตอร์ โดนัท และดำเนินโครงการต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน