กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA เดินหน้าผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้าน AI Governance เปิดเวทีรับฟังความเห็นต่อ “(ร่าง) หลักการของกฎหมายว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์” ฉบับแรกของประเทศ เน้นการกำกับดูแลการใช้งาน AI ที่มี “ความเสี่ยงสูง” ดันมาตรฐานใช้ AI อย่างมีจริยธรรม ไม่ละเมิดสิทธิและมีความรับผิดชอบ พร้อมตั้งเป้าสร้างกรอบกฎหมายที่สมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิประชาชนกับการส่งเสริมนวัตกรรมอย่างยั่งยืน ผู้สนใจร่วมส่งความเห็นต่อร่างดังกล่าวได้ผ่านระบบกลางทางกฎหมาย ถึง 9 มิถุนายนนี้ http://bit.ly/4kBjBTU
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวเนื่องในโอกาสเป็นประธานในเวที Hearing (ร่าง) หลักการกฎหมายเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยระบุว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถือเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งในด้านประสิทธิภาพการดำเนินงานและการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในยุคที่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยประเด็นเรื่องความพร้อมของประเทศในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI Readiness) และการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI Adoption) ถือเป็นประเด็นสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยจากการเป็นผู้ตาม ไปสู่การใช้ AI เพื่อยกระดับชีวิต เศรษฐกิจ และบริการของประเทศอย่างเต็มศักยภาพ
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันเรื่องเหล่านี้คือ ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ (AI Governance) วันนี้ประเทศไทยเผชิญกับโจทย์สำคัญที่ว่าเราจะสร้างจุดสมดุลอย่างไร ระหว่างการวางกรอบกำกับดูแลเพื่อคุ้มครองสังคมและผู้บริโภค ที่จะต้องไม่สร้างอุปสรรคต่อการพัฒนานวัตกรรมและเศรษฐกิจดิจิทัล เพราะเรื่อง AI Governance ต้องอาศัยการพิจารณาอย่างลึกซึ้งและรอบด้าน โดยประเด็นนี้จะได้รับการหยิบยกขึ้นหารืออย่างจริงจังอีกครั้งในเวทีนานาชาติ The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนมิถุนายนนี้ โดยมีเป้าหมายในการร่วมกำหนดแนวทางความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระดับโลกด้านจริยธรรมและธรรมาภิบาล AI
นอกจากนี้ สิ่งที่เราต้องพัฒนาควบคู่กัน คือ ความพร้อมด้านบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐาน โดยไทยมีการกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาบุคลากรด้าน AI ในแต่ละระดับไว้อย่างชัดเจน ครอบคลุมทั้งด้านเทคนิค จริยธรรม และการประยุกต์ใช้ในภาคส่วนต่างๆ ขณะที่ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนา ระบบแบ่งปันข้อมูล (data sharing) และการออกแบบระบบที่คำนึงถึง อธิปไตยทางดิจิทัล (Digital Sovereignty) เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างความเป็นเจ้าของข้อมูล (data ownership) การเปิดใช้แหล่งข้อมูลแบบเปิด (open source) และการควบคุมดูแลการไหลเวียนข้อมูลในระบบภายในประเทศอย่างมั่นคงและปลอดภัย และความพร้อมทั้งสามมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านธรรมาภิบาล บุคลากร หรือโครงสร้างพื้นฐาน จะต้องถูกผลักดันไปสู่ การประยุกต์ใช้จริงในภาคส่วนสำคัญของประเทศ เช่น การเกษตร การแพทย์ การท่องเที่ยว และการบริหารภาครัฐ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงประโยชน์จาก AI ได้อย่างเท่าเทียมและยั่งยืน
กระทรวง ดีอี โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA จึงได้เร่งเดินหน้าจัดทำ “(ร่าง) หลักการของกฎหมายว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์” เพื่อเป็นกรอบกำกับดูแลที่ชัดเจน โปร่งใส และสอดคล้องกับสถานการณ์เทคโนโลยีในปัจจุบัน โดยเฉพาะ การใช้งาน AI ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิ เสรีภาพ หรือความปลอดภัยของประชาชน ภายใต้เป้าหมายใหญ่คือ การสร้างสมดุล ระหว่าง “การส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม” และ “การปกป้องประโยชน์สาธารณะ”โดยจะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับหน่วยงานรัฐและภาคเอกชนในการออกแบบแนวปฏิบัติ หรือมาตรการควบคุมที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของ AI ในแต่ละบริบท ตลอดจนรองรับแนวทางการกำกับดูแลในหลายระดับ ทั้ง Soft Law และ Hard Law ให้เกิดขึ้นอย่างยืดหยุ่น แต่ยังคงยึดมั่นในหลักความรับผิดชอบ โปร่งใส และเคารพสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล
ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาอาวุโสสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA กล่าวต่อว่า ปัจจุบันการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับ AI ในประเทศไทยยังอยู่ในรูปแบบ Soft Law หรือแนวทางปฏิบัติ (Guideline) แต่เนื่องจาก AI มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และมีความซับซ้อนมากขึ้น จึงอาจทำให้แนวปฏิบัติอาจมีช่องโหว่และไม่สามารถกำกับการใช้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยเฉพาะในประเด็นที่สำคัญ เช่น เรื่องความโปร่งใสในการทำงานของ AI การรับผิดชอบต่อความเสียหายอันเกิดจาก AI หรือการละเว้นความรับผิดชอบในกรณีที่เกิดความผิดพลาดจาก AI ที่นอกเหนือความคาดหมาย
ทั้งนี้ ETDA จึงได้มีการศึกษาหลักการสากลอย่างเข้มข้น รวมถึงประชุมเพื่อหาทิศทางร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ธรรมภิบาลปัญญาประดิษฐ์ หรือศูนย์ AIGC by ETDA ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเทคโนโลยี AI หน่วยงานรัฐที่มีบทบาทการกำกับ – ดูแล ในภาคส่วนต่างๆ รวมไปถึงตัวแทนจากภาคธุรกิจ สู่การพัฒนาและจัดทำร่างหลักเกณฑ์กฎหมายและข้อบังคับให้เกิดการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากใช้ AI โดยพบว่าการวางแนวทางสำหรับธรรมาภิบาล AI นั้นไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะในรูปแบบกฎหมาย แต่สามารถทำได้ในหลายระดับไม่ว่าจะเป็นระดับ Guideline หรือ Best Practice ระดับ Soft Law และระดับ Hard Law โดยความเข้มข้นของการกำกับ – ดูแลก็ควรจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมในแต่ละประเด็นที่แตกต่างกัน และต้องคำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีไปพร้อมกันด้วย
สำหรับ การออกแบบร่างกฎหมายปัญหาประดิษฐ์ มีจุดที่จะต้องพิจารณา 3 เรื่องสำคัญ คือ
(1) การปลดล็อคในประเด็นทางกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาหรือประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์
(2) การส่งเสริมที่ควรกำหนดไว้เพื่อสร้างความชัดเจนในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ อาทิ การให้ทุน การลดภาษี การสร้างแรงจูงใจ
(3) การคุ้มครองหรือเรื่องธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ โดยประเด็นหลักที่ได้จากการศึกษาการบังคับใช้กฎหมาย AI ในต่างประเทศทำให้ทราบว่าการวางแนวทางสำหรับ ธรรมาภิบาล AI นั้นไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะในรูปแบบกฎหมาย แต่สามารถทำได้ในหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นระดับ Guideline หรือ Best Practice ระดับ Soft Law และระดับ Hard Law โดยความเข้มข้นของการกำกับ – ดูแลก็ควรจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมในแต่ละประเด็นที่แตกต่างกัน และต้องคำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีไปพร้อมกันด้วย
การออกกฎหมายที่ครอบคลุมความเสี่ยงในทุกเรื่อง ทุกระดับความเสี่ยงแบบ one size fit all อาจจะไม่ใช่แนวทางการกำกับ-ดูแล AI ที่เหมาะกับประเทศไทยนัก เพราะโจทย์สำคัญของเราคือ การกำกับและ ดูแล AI โดยไม่ขัดขวางการพัฒนาเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม สำหรับ “(ร่าง) หลักการกฎหมายเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI)” จะมีเนื้อหาที่ครอบคลุมทั้ง การวางหลักการพื้นฐานที่สำคัญแก่ระบบกฎหมาย , มาตรการส่งเสริมในทางกฎหมายที่จำเป็น เช่น Text and Data Mining, Regulatory Sandbox กำหนดแนวทางกำกับความเสี่ยงจาก AI โดยเฉพาะการใช้งานในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง (High-Risk AI), การส่งเสริมการใช้งาน AI อย่างรับผิดชอบ ผ่านกลไกการกำกับดูแลที่เหมาะสมใน แต่ละบริบท, การกำหนดบทบาทของหน่วยงานกำกับเฉพาะด้าน ให้สามารถออกมาตรการควบคุมหรือส่งเสริม AI ได้อย่างยืดหยุ่นและทันต่อการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการกำหนดองค์กรสนับสนุนการทำงานของกฎหมายฉบับนี้ เป็นต้น
ดร.ศักดิ์ ยังเน้นว่า ร่างกฎหมายนี้ไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางกฎหมาย แต่คือการสร้าง ‘สมดุล’ ระหว่างการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อประโยชน์ของสังคม กับการคุ้มครองความปลอดภัย สิทธิ และศักดิ์ศรีของมนุษย์ในยุคดิจิทัล และเพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของ AI ไทย
ประชาชนสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นต่อ “(ร่าง) หลักการของกฎหมายว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์” ผ่านระบบกลางทางกฎหมายได้ที่ http://bit.ly/4kBjBTU ตั้งแต่วันนี้จนถึง 9 มิถุนายน 2568 และสามารถติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างกฎหมายปัญญาประดิษฐ์ของไทยได้บนทุกช่องทางของ ETDA Thailand