Mastercard Cloud Edge เชื่อมต่อระบบการทำงานบนคลาวด์ของลูกค้าเร็วขึ้น 4 เท่า

     มาสเตอร์การ์ด เผย ธนาคารและผู้ให้บริการฟินเทคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสามารถเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายของมาสเตอร์การ์ดได้เร็วขึ้นสูงสุดถึง 4 เท่า และสามารถเปิดตัวบริการชำระเงินได้ง่ายยิ่งขึ้นผ่าน Mastercard Cloud Edge ซึ่งเป็นโซลูชันที่เชื่อมต่อผ่านระบบคลาวด์ที่มาสเตอร์การ์ดร่วมกับผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก อาทิ Amazon Web Services (AWS) บริษัทในเครือของ Amazon.com, Inc. (NASDAQ: AMZN)

    อุตสาหกรรมฟินเทคทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตเร็วกว่าภาคธนาคารโดยรวมถึง 3 เท่าภายในปี 2571 โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการเติบโตของตลาดเกิดใหม่ในเอเชียแปซิฟิก การเติบโตนี้จะยิ่งเร็วขึ้นด้วยเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง โดยคาดว่าคลาวด์จะสร้างมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯให้กับ 500 บริษัทชั้นนำของโลก สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้น คลาวด์คอมพิวติ้งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของฟินเทค และคาดว่าจะผลักดันให้ตลาดมีมูลค่าสูงเกือบ 311 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯภายในปี 2572

     ซันดีป มาลโฮตรา รองประธานบริหารฝ่าย Core Payments ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มาสเตอร์การ์ด กล่าวว่า ด้วย Cloud Edge มาสเตอร์การ์ดได้นำนวัตกรรมด้านคลาวด์และการชำระเงินมาสู่ธนาคาร สถาบันการเงิน และองค์กรที่ทำงานบนระบบคลาวด์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและต้องการโซลูชันที่สอดรับกับทิศทางของตน Cloud Edge ตอกย้ำความมุ่งมั่นของมาสเตอร์การ์ดในการสร้างระบบที่มั่นคง มีการสำรองข้อมูลและปลอดภัย ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน พร้อมมอบทางเลือก ความรวดเร็ว และความยืดหยุ่นให้แก่ลูกค้า เช่น ผู้ให้บริการฟินเทคสามารถรองรับการใช้งานของลูกค้าในช่วงที่มีการใช้งานสูง เช่น ในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์หรือเทศกาลลดราคา โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มในระบบโครงสร้างพื้นฐาน”

     โซลูชัน Mastercard Cloud Edge ยังเป็นตัวเลือกเพิ่มเติมในการเชื่อมต่อระบบของมาสเตอร์การ์ด โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้า อาทิ ผู้ออกบัตร ผู้รับชำระเงิน พันธมิตรด้านเครือข่าย และผู้ประมวลผลการชำระเงิน ได้รับประโยชน์ ดังนี้:

  • การเชื่อมต่อแบบไร้รอยต่อและเป็นส่วนตัวกับระบบของมาสเตอร์การ์ด ด้วยความเร็วและความสามารถในการขยายตัวของระบบคลาวด์ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ช่วยให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องผูกติดกับโครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบเดิมหรือระบบภายในองค์กร
    • Cloud Edge ช่วยให้เปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการสู่ตลาดได้รวดเร็วขึ้น และยังสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลในแต่ละประเทศ
  • ลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนและค่าบำรุงรักษา เนื่องจากไม่ต้องสร้างหรือดูแลศูนย์ข้อมูลเอง
  • เข้าถึงเทคโนโลยีการชำระเงินสมัยใหม่โดยตรง เช่น Transaction APIs ที่พัฒนาบนมาตรฐาน ISO 20022

     หนึ่งในผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านบัญชีและบัตรสำหรับองค์กรระดับโลกอย่าง บริษัท Episode Six กำลังใช้โซลูชัน Cloud Edge เพื่อสนับสนุนภาคธนาคาร ฟินเทค และองค์กรด้านการชำระเงินในเอเชียแปซิฟิก ในการออกแบบและเปิดตัวบริการชำระเงินดิจิทัลชั้นนำ เช่น บัตรเครดิต และการชำระเงิน B2B

     จอห์น มิตเชลล์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Episode Six กล่าวว่า “เทคโนโลยีทั้งหมดของ Episode Six ได้รับการพัฒนาโดยเฉพาะสำหรับระบบคลาวด์ เราจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าโครงสร้างพื้นฐานมีความสำคัญอย่างไรต่อพันธมิตรในการขยายขนาดโดยยังคงไว้ซึ่งความปลอดภัยทั้งในปัจจุบันและอนาคต เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับมาสเตอร์การ์ดในการพัฒนาโซลูชันCloud Edge เพื่อช่วยลดระยะเวลาในการออกสู่ตลาดของลูกค้า พร้อมทั้งรับประกันความปลอดภัย สามารถสำรองข้อมูล และปกป้องข้อมูลผ่านการเข้ารหัสและจัดเก็บบนคลาวด์ได้”

     “ด้วยศูนย์ข้อมูลของ AWS ที่มีอยู่ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสามารถมอบการเชื่อมต่อที่ครอบคลุมและปลอดภัย ผนวกกับเครือข่ายระดับโลกของมาสเตอร์การ์ด สิ่งนี้ช่วยให้องค์กรในภูมิภาคสามารถเข้าถึงระบบเครือข่ายการชำระเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความหน่วงต่ำ(low latency) ทำให้ดำเนินการได้อย่างราบรื่น และสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านการจัดเก็บข้อมูลในแต่ละประเทศ” สก็อตต์ มัลลินส์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายบริการทางการเงินของ AWS กล่าว

     โซลูชัน Mastercard Cloud Edge พร้อมให้บริการในตลาดเอเชียแปซิฟิก (รวมถึงอินเดีย ออสเตรเลีย สิงคโปร์ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และประเทศไทย) สหรัฐอเมริกา แคนาดา และบางส่วนของยุโรป ละตินอเมริกา แคริบเบียน ตะวันออกกลาง และแอฟริกา

RELATED ARTICLE

Scroll to Top