อาการของโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าเป็นความผิดปกติ ทางอารมณ์ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจะมี อาการเศร้าเกือบทั้งวัน เป็นติดต่อกันนานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ร่วมกับมีอาการหมดความสนใจ ในกิจกรรมที่เคยชอบทำ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ หรือตื่นเช้ากว่าปกติ รู้สึกเหนื่อยล้าง่าย รู้สึกไร้ค่า หรือรู้สึกผิด สมาธิจดจ่อ หรือความจำลดลง ความสามารถในการคิดหรือตัดสิ นใจลดลง หากมีอาการรุนแรงก็อาจจะมี ความคิดทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตั วตายได้
โรคซึมเศร้ากับการฝึกสติ
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคซึมเศร้ าอาจเป็นไปได้ทั้งจากปัจจัยด้ านพันธุกรรม ปัจจัยด้านความไม่สมดุ ลของสารเคมีในสมอง ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม รวมไปถึงปัจจัยด้านบุคลิกภาพ และความสามารถในการจัดการกั บความเครียด โดยแนวทางหลักของการรักษาโรคซึ มเศร้าในปัจจุบัน ยังคงเป็นการรักษาด้ วยยาและการทำจิตบำบัด
หนึ่งในการทำจิตบำบัดได้แก่ การรักษาด้วยการฝึกสติในโปรแกรม mindfulness based cognitive therapy (MBCT) ซึ่งพบว่า วิธีการนี้ ใช้ได้ผลดี โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นโรคซึ มเศร้าเรื้อรัง หรือว่ามีการกลับกำเริบซ้ำ ของโรคซึมเศร้าหลายครั้ง เพราะปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่ งที่ทำให้ภาวะซึมเศร้ายังคงอยู่ ต่อเนื่องได้แก่ภาวะคิดวกวนเกี่ ยวกับประสบการณ์ด้านลบที่เคยเกิ ดขึ้นแล้วในอดีต เรียกภาวะนี้ว่า rumination ส่วนการฝึกสติ(Mindfulness) จะช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้ และสังเกตเห็นความคิดว่าเป็นเพี ยงความคิด และไม่จำเป็นต้องคิดต่อ ซึ่งจะทำให้ภาวะ rumination ลดลง
ความหมายของสติ
การฝึกสติหมายถึงการฝึกรับรู้ร่ างกายและจิตใจ ในปัจจุบัน ทีละขณะ โดยไม่ตัดสิน ซึ่งการอยู่กับปัจจุบัน จะทำให้ผู้ฝึกสติรู้ทันความคิ ดวกวนได้มากขึ้น ลดการคิดถึงเรื่องราวร้าย ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และไม่กังวลไปกับสิ่งที่ยังไม่ เกิดขึ้นในอนาคต ส่วนการไม่ตัดสิน จะทำให้ผู้ฝึกสามารถรับรู้ ความคิด อารมณ์ ได้ตามความเป็นจริงมากขึ้น เพราะความคิดตัดสิน เช่น มองว่าเราเป็นคนไม่ดีหรือเป็ นคนไร้ค่า หรือโลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ ภาวะซึมเศร้าเกิดขึ้นหรือดำรงต่ อไป
ประโยชน์ของการฝึกสติ
ในแง่จิตวิทยา พบว่าการฝึกสติจะช่วยให้ผู้ฝึ กมีการตระหนักรู้ถึงอารมณ์ และมีความมั่นคงทางอารมณ์มากขึ้ น ทำให้ลดความคิดวกวนที่นำความทุ กข์ใจมาให้ สามารถเห็นความคิดเป็นเพี ยงความคิดและไม่คิดต่อ รวมถึงลดการตัดสินตัวเองและคนอื่ น ทำให้เกิดความรู้สึกเข้ าใจและเห็นใจผู้อื่นมากขึ้นด้วย นอกจากนั้น การฝึกสติสามารถเปลี่ ยนแปลงโครงสร้ างและการทำงานของสมองได้ งานวิจัยพบว่าผู้ที่ฝึกสติอย่ างสม่ำเสมอมีการทำงานที่เพิ่มขึ้ นในสมองส่วนหน้าผาก (prefrontal cortex) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตัดสิ นใจและการควบคุมอารมณ์ ในขณะที่สมองส่วนอะมิกดาลา (amygdala) ซึ่งเกี่ยวข้องกั บการตอบสนองทางอารมณ์เชิ งลบและความเครียดก็ทำงานที่ลดลง ทำให้ผู้ฝึกสติมีความยืดหยุ่ นทางอารมณ์มากขึ้น และสามารถจัดการกับความเครี ยดได้ดีขึ้น ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการ กลั บกำเริบซ้ำ
วิธีการฝึกสติ
แบ่งเป็น 2 ลักษณะได้แก่ 1) การฝึกสติในชีวิตประจำวัน ได้แก่การสังเกต ความคิด ความรู้สึก พฤติกรรมที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ ทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การอาบน้ำ การรับประทานอาหาร การมีสติระหว่างเดินไปทำงาน การรับรู้ความหงุดหงิดเวลาไม่ ได้ดั่งใจ รวมถึงการรับรู้ว่ามีความคิ ดวกวน หรือความทุกข์ในเกิดขึ้น และ 2) การฝึกสติในรูปแบบ เป็นการแบ่งเวลาว่างสักช่วงหนึ่ งในแต่ละวันมาฝึกการนั่งสั งเกตลมหายใจ (การนั่งสมาธิ) หรือฝึกซ้อมโดยการเดินกลับไปกลั บมา(เดินจงกรม) การฝึกสติทั้ง 2 ลักษณะ มีความสำคัญและจำเป็น เพราะจะช่วยให้สติแข็งแรงและว่ องไว ไม่เผลอจมไปกับความคิดหรื ออารมณ์นานจนเกินไป
สรุป
โรคซึมเศร้าเป็นภาวะที่ส่ งผลกระทบต่ออารมณ์ ความคิ ดและความสามารถในการทำงานของผู้ ป่วยและหากปล่อยไว้นานอาจจะรุ นแรงจนถึงมีความคิดฆ่าตัวตายได้ การฝึกสติเป็นอีกหนึ่งทางเลื อกที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจั ดการกับความคิดและอารมณ์ทางลบ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของจิ ตใจและสมอง และยังป้องกันการกำเริบซ้ำ ของโรคซึมเศร้าได้ด้วย
บทความโดย : นพ. พลภัทร์ โล่เสถียรกิจ จิตแพทย์ โรงพยาบาล BMHH – Bangkok Mental Health Hospital