ประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) ที่ทะเยอทะยาน โดยคาดว่าเศรษฐกิจดิจิทัลจะมีสัดส่วนถึง 50% ของ GDP ภายในปี 2030 ภายใต้ยุทธศาสตร์ Thailand 4.0การเติบโตนี้จะมาพร้อมกับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โดยคาดว่าตลาดศูนย์ข้อมูลจะขยายตัวมากกว่าสองเท่า จากมูลค่า 1.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 สู่ 3.19 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลก็ยังคงมีความท้าทายที่ซ่อนเร้นอยู่นั่นก็คือ ขยะข้อมูล ในปัจจุบัน กว่า 68% ของข้อมูลที่ถูกจัดเก็บนั้นถูกใช้เพียงครั้งเดียว ส่งผลให้เกิดการใช้ข้อมูลอย่างไม่คุ้มค่าซึ่งนำไปสู่ความไร้ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และการใช้พลังงานที่มากเกินความจำเป็น ยิ่งไปกว่านั้น ความซับซ้อนและการกระจัดกระจายของข้อมูลก็ยิ่งทำให้ปัญหานี้รุนแรงมากขึ้นไปอีก เนื่องจากข้อมูลถูกสร้างขึ้นจากแหล่งที่มาที่หลากหลาย ทำให้องค์กรจำนวนมากประสบปัญหาในการมองเห็นภาพรวมของข้อมูลทั้งหมด ส่งผลให้การบริหารจัดการข้อมูลเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
ด้วยการตระหนักถึงความจำเป็นในการเติบโตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ประเทศไทยจึงได้ยกระดับเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกจาก 20% เป็น 30% ภายในปี 2030 การให้ความสำคัญกับความยั่งยืนที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในการประเมินและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (carbon footprint) ของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วของพวกเขา
Data Minimalism: เส้นทางสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
แนวคิด Data Minimalism หรือ ความเรียบง่ายของข้อมูล กำลังกลายเป็นกลยุทธ์ที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูงในการจัดการกับปัญหาการสะสมข้อมูลที่ไม่เกิดประโยชน์และสิ้นเปลืองทรัพยากร การนำแนวทางนี้มาใช้สามารถช่วยให้ธุรกิจในประเทศไทยลดช่องว่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลและความยั่งยืนด้วยการปรับปรุงและปรับวิธีการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศ
องค์กรสามารถนำกลยุทธ์ต่อไปนี้มาปรับใช้เพื่อลดการสูญเสียข้อมูล และทำให้การจัดเก็บข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การมองเห็นข้อมูลอย่างครอบคลุม: เพื่อให้สามารถจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรต้องมีความเข้าใจอย่างรอบด้านเกี่ยวกับปริมาณ ลักษณะ และตำแหน่งของข้อมูล โดยการมองเห็นข้อมูลทั้งในระบบภายในองค์กรและคลาวด์เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก
- การจัดหมวดหมู่และการกำหนดลำดับความสำคัญ: เมื่อสามารถมองเห็นข้อมูลได้อย่างครอบคลุมแล้ว องค์กรก็จะสามารถจัดหมวดหมู่และกำหนดลำดับความสำคัญของข้อมูลได้ โดยการแยกแยะระหว่างข้อมูลที่จำเป็น และไม่จำเป็นนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติตามมาตรฐานการกำกับดูแลและความยั่งยืน
- การย้ายข้อมูลสู่คลาวด์และการเพิ่มประสิทธิภาพ: องค์กรควรนำโซลูชันที่อ้างอิงกับระบบคลาวด์มาใช้และพิจารณาการย้ายข้อมูล รวมถึงการจัดลำดับข้อมูล ผู้ให้บริการคลาวด์มักให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานที่ประหยัดพลังงาน ช่วยให้สามารถขยายระบบได้อย่างยืดหยุ่น ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในการจัดเก็บข้อมูลได้อีกด้วย
- การบีบอัดข้อมูลและการลบข้อมูลซ้ำ: องค์กรควรใช้เทคนิคการบีบอัดข้อมูล (data compression) และการลบข้อมูลซ้ำ(deduplication) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูล นอกจากนี้ การลบข้อมูลที่ซ้ำซ้อน และการบีบอัดข้อมูลจะสามารถลดความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลได้อย่างมาก
การสร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลอัจฉริยะ
ในช่วงเวลาที่แรงกดดันทางเศรษฐกิจและแนวทางด้านความยั่งยืนกลายมาเป็นตัวกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ การปรับเปลี่ยนการจัดการข้อมูลจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
นอกจากนี้ ความพยายามด้านความยั่งยืนของประเทศไทยจะไม่ได้เป็นเพียงแค่นโยบายของรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของธุรกิจในทุกภาคส่วนที่จะต้องทบทวนวิธีการจัดการและใช้ประโยชน์จากข้อมูลใหม่อีกครั้ง
กุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืนไม่ใช่เป็นการลดขนาดข้อมูล หรือการขอให้ผู้คนทำงานด้วยข้อมูลที่น้อยลง ในทางตรงกันข้าม บิ๊กดาต้านั้น เมื่อผนวกเข้ากับความก้าวหน้าด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะมีศักยภาพในการปลดล็อกแนวทางการแก้ไขหลาย ๆ ปัญหาด้านความยั่งยืนที่เรากำลังเผชิญอยู่ ดังนั้น ธุรกิจในประเทศไทยจึงต้องมองไปที่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลอัจฉริยะที่จะสามารถบูรณาการประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืนเข้าด้วยกันได้อย่างไร้รอยต่อ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ข้อมูลจะกลายเป็นตัวกำหนดอนาคตของพวกเราทุกคน และการตัดสินใจที่เราเลือกทำในฐานะผู้นำธุรกิจก็จะเป็นตัวกำหนดผลกระทบจากข้อมูลเหล่านั้น โดยการให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลอัจฉริยะและการนำแนวคิด Data Minimalism มาใช้นั้นจะทำให้องค์กรต่างๆ จะสามารถสร้างการเติบโตในระยะยาวต่อไปได้ โดยยังคงความยั่งยืนเป็นหัวใจหลักของการดำเนินงาน ผ่านความพยายามร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เราจะสามารถนำพาประเทศไทยขึ้นไปสู่การเป็นผู้นำในเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวในภูมิภาคเอเชียได้สำเร็จ
บทความโดย : อรรณพ วาดิถี ผู้จัดการเน็ตแอพ ประจำประเทศไทย