BYD บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน วางศิลาฤกษ์โรงงานผลิตรถยนต์สาขาต่างแดนแห่งแรกในประเทศไทย พร้อมจัดพิธีส่งมอบรถ BYD ATTO 3 คันที่ 9,999 และ 10,000 ในคราวเดียวกัน เพื่อการเติบโตทางธุรกิจของ BYD ในต่างแดนรวมถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ในตลาดเอเชีย–แปซิฟิก
ปี 2565 BYD มียอดขายพาหนะพลังงานใหม่สูงถึง 1.86 ล้านคันหรือสูงขึ้นร้อยละ 208.6 จากปีก่อนหน้า จึงขึ้นแท่นเป็นผู้นำพาหนะพลังงานใหม่ของโลกในแง่ยอดขายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2566 ยอดขายพาหนะพลังงานใหม่ของ BYD สูงถึง 193,655 คัน นับเป็นตัวเลขก้าวกระโดดจากยอด 88,283 คันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ในตลาดยานยนต์ไฟฟ้า 100% ยอดขายของ BYD อยู่ที่ 90,639 คันในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2566 เมื่อรวมกับยอดขายจากเดือนมกราคมของปีเดียวกัน ยอดขายรวมจะสูงถึง 161,977 คัน หรือเติบโตร้อยละ 80.86 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากที่ BYD มีแผนยกระดับการดำเนินงานตลอดจนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การผลิตและช่องทางการขายอย่างแข็งขัน พร้อมทั้งยังมีแรงหนุนยานพาหนะพลังงานใหม่อย่างจริงจังจากภาครัฐบาลในหลายประเทศ
พิริยะ เข็มพล ที่ปรึกษาพิเศษด้านการต่างประเทศ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กล่าวว่า “ปัจจุบัน ทุกประเทศใส่ใจต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการขาดแคลนพลังงาน การส่งเสริมการพัฒนาพาหนะพลังงานใหม่จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการปกป้องโลกและถือเป็นสิ่งที่ต้องเลือกทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หากต้องการส่งเสริมความยั่งยืนทางเศรษฐกิจบนโลกใบนี้”
หลิว เสวียเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด ระบุว่า “BYD ยึดมั่นในปรัชญา ‘เทคโนโลยี เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และอนาคต’ ขององค์กรมาโดยตลอด จึงส่งเสริมนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพาหนะพลังงานใหม่อย่างต่อเนื่อง การจัดตั้งฐานการผลิตรถในไทยถือเป็นกุญแจสำคัญในการเร่งขยายธุรกิจในตลาดเอเชีย–แปซิฟิกและการพัฒนาอุตสาหกรรมในตลาดท้องถิ่น”
หวาง ลี่ผิง อัครราชทูตที่ปรึกษาเศรษฐกิจและพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย กล่าวว่า “พิธีวางศิลาฤกษ์นี้นับเป็นก้าวสำคัญของ BYD ที่มุ่งมั่นขยายฐานการผลิตและขับเคลื่อนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในเอเชีย–แปซิฟิก รวมถึงเป็นประจักษ์พยานสำคัญถึงความพยายามของ BYD ในการเร่งขับเคลื่อนแวดวงพลังงานใหม่และสร้างการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้นจริงในระดับโลก“
ภายในงานดังกล่าว BYD ยังได้ส่งมอบรถ BYD ATTO 3 คันที่9,999 และ 10,000 ให้แก่ลูกค้าอีกด้วย เพื่อต้องการแสดงความขอบคุณต่อลูกค้าตลอดจนประกาศความมุ่งมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพและนวัตกรรม
ปัจจุบัน ประเทศไทยได้กลายเป็นศูนย์กลางพาหนะพลังงานใหม่ที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 มีจำนวนพาหนะพลังงานใหม่ที่จดทะเบียนใช้งานในไทยแล้วทั้งสิ้น 16,672 คัน สูงขึ้นร้อยละ 281.86 เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมปีก่อนหน้า ที่สำคัญ ตลาดพาหนะพลังงานใหม่ยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีกอย่างรวดเร็ว เพราะจำนวนรุ่นรถยนต์ในตลาดและมาตรการให้เงินสนับสนุนเพื่อส่งเสริมการใช้งานพาหนะที่เป็นต่อสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลไทย
เฉพาะแค่รถ BYD ATTO 3 รุ่นเดียว BYD ยังสามารถจดทะเบียนรถได้มากถึง 1,352 คัน นับตั้งแต่เริ่มวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วจนถึงปลายเดือนมกราคมปีนี้ โดยจำนวนดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8ของจำนวนพาหนะพลังงานใหม่ที่จดทะเบียนในประเทศไทย และจำนวนรถ BYD ATTO 3 ที่จดทะเบียนในไทยยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยตัวเลขพุ่งไปแตะ 3,000 คันแล้ว ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 สะท้อนชัดถึงตำแหน่งผู้นำของ BYD ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% ของไทย
BYD ATTO 3 เป็นรถยนต์เอนกประสงค์ SUV แบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่ BYD เปิดตัวในตลาดไทยพร้อมแพลตฟอร์มออนไลน์(e-platform) ระดับ 3.0 นับเป็นรถคุณภาพเยี่ยมทั้งในด้านดีไซน์ เทคโนโลยี ประสิทธิภาพการใช้งานและประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้ ในพิธีส่งมอบรถ BYD ATTO 3 คันที่ 9,999 และ 10,000 ให้ลูกค้า
ประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัดตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ BYD ในประเทศไทย (ขวา)
การก่อสร้างและส่งเสริมฐานผลิตรถยนต์มีความเกี่ยวข้องกันชนิดที่แยกออกจากกันไม่ได้ ทันทีที่ฐานผลิตเริ่มประกอบการ ระยะเวลารอรับรถของลูกค้าในตลาดไทยจะลดลงเพราะไม่ต้องเสียเวลารอกระบวนการนำเข้า รอรถถูกขนส่งมาทางเรือและรอรถผ่านพิธีการศุลกากรซึ่งใช้เวลานาน เรียกได้ว่าฐานผลิตในไทยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการส่งมอบผลิตภัณฑ์ของ BYD และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในตลาดไทยได้ดียิ่งขึ้น
ฐานผลิตรถยนต์ของ BYD ในไทยมีพื้นที่เกือบ 600 ไร่ (1 ไร่มีขนาดราว 1,600 ตารางเมตร) และพร้อมจะเริ่มผลิตในปีหน้าด้วยกำลังผลิตต่อปีที่สูงถึงราว 150,000 คัน ในอนาคต BYD จะเดินหน้านำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายยิ่งขึ้นรวมถึงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้นแก่ผู้บริโภคชาวไทย พร้อมทุ่มสุดตัวเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมพาหนะพลังงานใหม่และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย